3/03/2553

"โรมิโอ & จูเลียต"

มากันเรื่อยๆ เลยครับ เพลงรักหวานๆ

ภาพยนตร์ที่สร้างจาก บทประพันธ์เรื่องเยี่ยม ของ "เชคสเปียร์"
"โรมิโอ & จูเลียต" ในปี 1968
นำแสดงโดย
"เลียวนาร์ด ไวท์ติ้ง" และ "โอลิเวีย ฮัสซีย์"

ตอนนั้น "โอลิเวีย ฮัสซีย์" ยังเพิ่งแตกวัยสาว สวยน่ารักมากเลย

หลังจากดูหนังเรื่องนี้มา เวลาอ่านหนังสือ "โรมิโอ และ จูเลียต"
ภาพบุคลิกของ "จูเลียต" กลายเป็นภาพของ "โอลิเวีย ฮัสซีย์" ตลอดมา
แต่ ตัว "โรมิโอ" กลับไม่เคยนึกถึง "เลียวนาร์ด ไวท์ติ้ง" เลย

กลายเป็นตัวเราสวมบท "โรมิโอ"กอด "โอลิเวีย ฮัสซีย์" แทน

เธอสวยน่ารักขนาดไหน ดูภาพเอาเองละกันนะครับ
แล้วจะรู้ว่า ทำไมผมจึงฝันถึงเธออยู่หลายปีเลย



เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นหนึ่งในสุดยอดเพลงรักในใจผมอีกเช่นกัน

Andy Williams - Love Story (Where Do I Begin)

เพิ่งผ่านพ้นดือนแห่งความรักมา
ขอนำเพลงที่เข้ากับบรรยากาศความรักมาให้ฟังกันนะครับ

อันดับต้นๆ ในใจตลอดมา ยามนึกถึงเพลงรัก
ต้องเป็นเพลงจากหนุ่มใหญ่คนนี้เลยครับ "Andy Williams"
เพลงของเค้าหลายเพลงเลยที่ประทับอยู่ในใจผม ตั้งแต่วัยกระเตาะริรัก
และ แม้มาฟังยามนี้ ก้อยังคงตวามไพเราะกินใจมิเสื่อมคลาย
จนหัวใจโหยหาประหวัดถึงคนที่เคยเกาะกุมมือ เมื่อวันนั้น


Andy Williams - Love Story (Where Do I Begin)

เพลง Love Story ข้างบนนั้น มาจากภาพยนตร์รัก เรื่อง "Love Story"
หรือ ชื่อภาษาไทย ว่า "หากจะรัก อย่าลืมคำว่าเสียใจ"
ที่ออกฉายในปี 1969 นำแสดงโดย ไรอัน โอนีล อาลี แมคกรอว์
ตอนนั้นผมดูหนังเรื่องนี้ในโรงหนังบ้านนอก ยังหนวดไม่ขึ้น เลยไม่ค่อยซึ้งกับหนังเรื่องนี้นัก
แต่ ชอบพระเอกกับนางเอก หล่อและสวยน่ารักเหลือเกิน
อาลี แมคกรอว์ นั้นเธอจะสวยคมเข้ม เหมือนมีเชื้อสายอินเดียนแดง



เมโลดี้ที่รัก

ในประมาณปี 1972 มีหนังรักใสๆ ของเด็กๆ เข้าฉายที่ ลิโด
"Melody Fair" หรือ ชื่อภาษาไทยว่า "เมโลดี้ที่รัก"
นำแสดง โดย Mark Lester ดาราเด็กที่หน้าตาน่ารักมาก นางเอก ก้อ Tracy Hyde
และมี Jack Wild เด็กหน้าตกกระ เป็นตัวเอกอีกคน
สำหรับผม หนังเรื่องนี้ เป็นหนังคลาสสิคเรื่องหนึ่งที่ไม่มีวันลืม

องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้หนังเด็ก เรื่องนี้ กลายเป็นหนังคลาสสิคตลอดกาลของผม
คือ เพลงประกอบที่มากมายในหนังเรื่องนี้ครับ เป็นสุดยอดของเพลงไพเราะ
และ นี่เป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ผมรู้จักวงดนตรีอมตะวงนี้ครับ "The Bee Gees"
3 พี่น้องตระกูล Gibbs ที่สร้างสรรเพลงไพเราะไว้ให้โลกดนตรีมากมาย

"Who is the girl with the crying face.
Looking at million of sign."

นี่คือ เนื้อร้องขึ้นต้น ของเพลงที่เป็นชื่อเดียวกับหนัง "Melody Fair"
เสียดายที่ผมทำเพลงชุดนี้หายไป รวมทั้ง เพลง "In The Morning" และ "Spicks and Specks"
เพื่อนๆ ท่านใดมี 3 เพลงนี้ ช่วยแบ่งปันกันด้วยนะครับ เป็นเพลงที่ฝังใจผมมากเลย

มาฟัง 3 เพลง ของ Bee Gees ที่เป็น Sound Track ในหนังเรื่องนี้เช่นกันครับ
รับรองว่า รู้จักกันทุกเพลงแหละ


BEE GEES - FIRST OF MAY
BEE GEES - TO LOVE SOMEBODY
BEE GEES - I'VE GOTTA GET A MESSAGE TO YOU

Middle Of The Road - Chirpy Chirpy Cheep Cheep

ในปี ค.ศ. 1971 ที่ผมเริ่มเข้ามาเรียนหนังสือในเมืองหลวง
ตอนนั้น ทุกเช้ามืด ต้องนั่งรถเมล์ขาว ของ บริษัท นายเลิด จำกัด ไปโรงเรียน
เป็นรถเมล์ของเอกชน (3 ปีถัดมา จึงได้รวมรถเมล์ เป็น ขสมก. ในสมัยรัฐบาลคึกฤทธิ์)
ค่ารถเมล์ตลอดสาย เก็บ 50 สตางค์ ถูกมากเลย แล้วยังมีให้ซื้อคูปองเป็นเล่ม ลดราคาลงครึ่งหนึ่งอีก
ตัวยังเล็ก ขึ้นรถเมล์ แขนก็ยังจับราวไม่ถึง กระเป๋านักเรียนก็หนักเหลือเกิน
โชคยังดี ที่ว่า บ้านพัก กับ โรงเรียน อยู่ใกล้จุดที่เป็น ต้นสาย-ปลายสาย ของ รถเมล์นายเลิด พอดี

เพลงฝรั่งที่กำลังโด่งดังที่สุด และเป็นเพลงแรกของชีวิตในเมืองหลวงของผม
มาจากวงที่ประกาศตัวเองว่า ไม่ใช่วงข้างถนน
วงนี้ครับ วงกลางถนน "Middle of the Road" หรือ M.O.T.R.

Middle Of The Road - Chirpy Chirpy Cheep Cheep

Maureen McGovern - We May Never Love Like This Again (Theme from The Towering Inferno - 1974)

และในปี 1974 สองปีต่อมา ที่ "ลิโด้" นั้นเอง
ผมก็ได้ดูหนังยิ่งใหญ่อีกเรื่องหนึ่งของทศวรรษ 80's คือ "The Towering Inferno"
หรือ ชื่อไทย ว่า "ตึกนรก" นำแสดงโดย สุดยอดดาราที่โด่งดังของยุคนั้น
สตีฟ แมคควีน ( คงจำเค้าได้จากหนังทีวียุคขาวดำ เรื่อง ไอ้ปืนโต) และ พอล นิวแมน

จาก "ตึกนรก" นี้เอง ทำให้ "Maureen McGovern" กลับมาคว้า รางวัลออสการ์
สาขา เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้อีกครั้ง เพียงแค่เว้นปีเดียวเท่านั้น
จากเพลงนี้ครับ "We May Never Love Like This Again"
ฟังกันครับ Rip มาที่ 320 Kbps.

Maureen McGovern - We May Never Love Like This Again (Theme from The Towering Inferno - 1974)

Maureen McGovern - The Morning After (Theme from The Poseidon Adventure - 1972)

ในปี ค.ศ. 1972 มีภาพยนตร์แนวผจญภัยตื่นเต้น ทุนสร้างมหาศาลเรื่องหนึ่ง ของ Hollywood เข้ามาฉายในบ้านเรา
"The Poseidon Adventure" หรือชื่อเรื่องภาษาไทย ว่า "เรือนรก"
ผมจำได้ว่า นุ่งกางเกงขาเดฟรัดติ้ว ไปดูหนังเรื่องนี้ ที่ โรงหนัง"ลิโด" ย่านสยามสแควร์
เป็นหนังที่สนุกมาก มีฉากตื่นเต้นให้ต้องลุ้นกันอยู่ตลอด
นอกจากความสนุกสนานแล้ว สิ่งที่ผมจดจำหนังเรื่องนี้ได้ตลอดมา คือ เพลงประกอบภาพยนตร์
เพลง "The Morning After" ที่ร้องโดย "Maureen McGovern"
เพลงนี้ ให้ความหมายอันอบอุ่นของกำลังใจ และ จิตใจมุ่งมั่นฝ่าฟันก้าวข้ามอุปสรรค

..... "รุ่งอรุณของวันพรุ่ง จะต้องมาถึง
.... หากเราฝ่าฟันให้ผ่านพ้นวันคืนมืดมิดไปได้
.... เราจะได้พบกับแสงตะวันอันสดใส

ผมไม่แน่ใจ ว่า หนังเรื่อง "เรือนรก" กวาดรางวัลออสการ์มาครองได้กี่ตัว ในปีนั้น
แต่ที่แน่ คือ เพลง "The Morning After" ได้รับรางวัลออสการ์ สาขา เพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
มาฟังเพลงนี้กันครับ

Maureen McGovern - The Morning After (Theme from The Poseidon Adventure - 1972)


Cliff Richard - The Young One



วันนี้ ขอนำเพลงของท่าน Sir อีกคนของอังกฤษ มาให้ฟังครับ ท่าน Sir Cliff Richard ครับ

เพลงดังของเค้ามีหลายเพลงเลย แต่ที่ผมชอบที่สุดคือ The Young One

เพลงนี้ เป็นเพลงฝรั่งเพลงแรกที่ผมรู้จักและชอบ
จำได้ว่า ได้ฟังครั้งแรกตอนยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกอยู่เลย
วันนั้นเข้าไปตััดผมในร้านตัดผมใกล้บ้าน
(เป็นร้านตัดผมโบราณ ประตูเข้า เป็นแบบบานสวิง 2 บาน
เหมือนกับร้านเหล้าในหนังคาวบอย แบบนั้นเปี๊ยบเลย)
ยังนั่งเก้าอี้ตัดผมแบบผู้ใหญ่ทั่วไปไม่ได้ เพราะหัวไม่ถึง (โง่...จัง)
ช่างตัดผมต้องเอาไม้พาดท้าวแขนเก้าอี้ แล้วให้นั่งบนไม้นั้น

ตอนที่นั่งตัดผมอยู่นั้น ร้านเค้าก้อเปิดเพลงฝรั่งจากวิทยุฟังไปด้วย
เมื่อเพลง The Young One เริ่มบรรเลงขึ้นมา
ผมฟังแค่เริ่มต้นเพลง ก็รู้สึกในใจขึ้นเลยว่า เพลงนี้เพราะจัง
ทั้งที่ไม่เคยฟังเพลงฝรั่งมาก่อนเลย
ช่างตัดผมเค้าก็คุยให้ฟังว่า รูปที่ติดอยู่ที่ฝาผนังในร้านนั่นไง
หนุ่ม Cliff Richard ที่ร้องเพลงนี้แหละ
ร้านเค้าเอามาแปะเป็น Model ให้ลูกค้าเลือกทรงผม
เรียกว่า ทรงผมทรงนั้น ฮิตมากสำหรับวัยรุ่นยุคนั้น

เพลง The Young One จึงเป็นเพลงจุดประกายให้ผมเริ่มฟังเพลงฝรั่ง ในเวลาต่อมา
ลองฟังกันดูครับ

Cliff Richard - The Young One

กวยจั๊บ ย่านเฉลิมกรุง

วันก่อน ญาติพาไปทานกวยจั๊บน้ำใส นายเล็กอ้วน ที่เยาวราช
ร้านนี้อยู่ในลายแทงของอร่อยเยาวราชซะด้วย
ร้านนี้ ติดป้ายว่า มีอีก 2 สาขา ที่ ซอยนาคบำรุง ย่านแม้นศรี
กับอีกที่ แถวตลาดสามย่าน

กวยจั๊บน้ำใสในซอยนาคบำรุง (ใกล้ รพ.หัวเฉียว)ผมเคยทานบ่อยเมื่อ 30 ปีก่อน ยังติดใจมาจนบัดนี้ว่าต้องหาโอกาสกลับไปกินเพิ่งมารู้ว่า เป็นสาขาเดียวกับที่เยาวราช
แต่ มาทานที่เยาวราชเมื่อวันอาทิตย์ กวยจั๊บน้ำใสที่นี่ จะหนักไปทางพริกไทยในน้ำซุปให้เผ็ดร้อนเข้าไว้ชามละ 40 บาท แพงไปนิดเมื่อเทียบกับปริมาณและเครื่องเครา
คือ มีตัวกวยจั๊บอยู่ไม่กี่ตัว กับ เครื่องในไม่กี่ชิ้น
ไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้ที่ซอยนาคบำรุง จะเป็นแบบนี้หรือป่าว
เพราะไม่ได้กินมานานแล้ว

สำหรับ เพื่อนๆ ที่ชอบทานกวยจั๊บน้ำใส
ผมมีร้านย่านกลางเมืองแห่งนึง จะแนะนำครับ
ไม่มีชื่อร้านหรอกครับ ผมขอตั้งชื่อเองว่า ร้าน "กวยจั๊บน้ำใสอร่อยเงียบ"

ร้าน "กวยจั๊บน้ำใสอร่อยเงียบ" นี้อยู่แถวสี่แยกเฉลิมกรุง
ผมทานมาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มกระทง ซักเกือบ 30 ปีมาแล้ว
ยุคนั้น แถวนั้นยังเป็นย่านสายหนัง (ภาพยนตร์)
ยังพอได้กระทบไหล่พวกดาวร้ายในจอเงินกันโดยไม่ยากนัก

เมื่อปีที่แล้ว บังเอิญไปธุระแถวนั้น
ผ่านไปเห็น ก้อเลยจำได้ยังเป็นโต๊ะเล็กๆ ริมฟุตปาทเหมือนเดิม
คุ้นตาแม้เวลาจะผ่านมาแสนนาน เพราะเจ๊แกยังใช้เตาถ่านเล็กๆ
และทำกวยจั๊บน้ำใสในหม้อเล็กๆ ที่ละชามๆ แบบ "ใส่ใจ" ลงไปด้วย
เช่นนี้กระมัง ถึงคงความอร่อยไว้ได้เช่นเมื่อ 30 ปีก่อน

น้ำซุปกลมกล่อม มีหมูสับ (ซึ่งร้านเยาวราชไม่มี)
และ เครื่องใน เป็นเครื่องเคราราคาไม่แน่ใจ แต่ไม่เกิน 30 บาทแน่
หากท่านใดสนใจจะลองไปทานล่ะก้อ ต้องไปตอนเย็นๆ - หัวค่ำ นะครับ
ให้ตั้งต้นโดยยืนหน้าโรงหนังเฉลิมกรุง ตรงสี่แยกไฟแดง
เดินข้ามถนน มาในทิศทางที่จะไปวัดสุทัศน์ หรือ เสาชิงช้า
เดินมาหน่อยนึงจะผ่านสะพานข้ามคลองเล็กๆ
(คลองนี้สมัยก่อน จะมีคนมางมร่อนทองกันทั้งวัน)
ไม่กี่ก้าว จะเห็นร้าน "กวยจั๊บน้ำใสอร่อยเงียบ"
ตั้งอยู่บนฟุตปาทริมถนน หน้าตึกแถวโบราณ ที่เป็นเอกลักษณ์ของย่านนั้นหาง่ายครับ เดินข้ามถนนจากโรงหนังเฉลิมกรุง มาไม่เกิน 100 เมตร
มองขวาไว้ เจอแน่ร้านนิดเดียว
มีโต๊ะเล็กๆ นั่งบนฟุตปาท ได้ไม่เกิน 10 คน
แต่ไปแล้วได้นั่งแน่ เพราะ อย่างที่ผมตั้งชื่อไว้เอง
ว่า "กวยจั๊บน้ำใสอร่อยเงียบ"ไม่มีป้ายร้านใดๆ เลย
มีแต่คนแถวนั้นที่รู้ๆ ไปกินกัน
ไม่ต้องเล่นเก้าอี้ดนตรี"เชลล์ไม่เคยชวน ช้อยไม่เคยชิม
แต่หากได้ลองลิ้ม ช้อยต้องชวนเชลล์กลับไปชิมแน่นอน"

ร้านนี้ออกขายตอนแดดร่มลมตก เกือบ 6 โมงเย็น
คิดว่า พอค่ำๆ ซัก สองสามทุ่ม คงเลิกขายกลับบ้านแล้วล่ะ
ย่านเก่าแถวนั้น พอตกกลางคืนเงียบเหงาจอดรถริมถนนน่าจะสบายๆ นะ

แนะนำหนังสือน่าอ่าน :: รหัสลับรัสปูติน



นวนิยายแปล เรื่อง "รหัสลับรัสปูติน"The Romanov Prophecy
สตีฟ เบอร์รี่ : เขียน
อักษรา วิสาระ : แปล
พิมพ์ครั้งแรก : มีนาคม 2549
พิมพ์ครั้งที่ 5 : พฤษภาคม 2549
แพรวสำนักพิมพ์หนังสือในเครือ อมรินทร์
387 หน้าราคา 265 บาท

***************************************
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสอ่านนวนิยายแปล
เรื่อง "รหัลลับรัสปูติน"ที่เขียนโดย "สตีฟ เบอร์รี่" และ "อักษรา วิสาระ" แปลไว้
อ่านสนุกครับ ตื่นเต้นไปกับมนต์อักษรที่ผู้แต่งและผู้แปลร่ายไปในแต่ละหน้าอย่างใจจดใจจ่อทีเดียว

ผมชื่นชมความกล้าหาญของผู้แต่ง ที่กล้านำเสนอ Theme ของเรื่อง
ว่าชาวรัสเซียยุคปัจจุบัน โหยหาและเรียกร้องให้ "ซาร์" (จักรพรรดิ) กลับมาปกครองรัสเซียอีกครั้ง
จนถึงขนาดประชาชนมีประชามติให้มีการจัดตั้ง คณะกรรมการเลือกตั้งซาร์พระองค์ใหม่
ผู้แต่งได้อาศัยข้อมูลความเป็นจริง จากเหตุการณ์ฆ่าหมู่ "พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2" และครอบครัว อย่างถอนรากถอนโคน
และ การขุดซากพระศพในปี 1991 ที่ไม่พบรัชทายาท 2 พระองค์สุดท้อง
การนำความลึกลับและคำทำนาย ของ รัสปูติน นักบวชผู้ใกล้ชิดราชสำนัก มาเป็นแกนของเรื่อง
ผสานไปกับการจินตนาการ ที่ให้มีเสียงเรียกร้องและการตั้งคณะกรรมาธิการเลือกตั้งซาร์ใหม่ขึ้นมา
ทำให้นวนิยายเรื่องนี้ มีกลิ่นอายของประวัติศาสตร์รัสเซียอยู่ตลอดเรื่อง
พร้อมๆ ไปกับการฉายภาพ ความเป็นไปไปในรัสเซียยุคหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต
ซึ่งแน่นอนว่า ในมุมมองของนักเขียนตะวันตกย่อมไม่สวยงามกระไรนัก

เราอาจรู้จัก "รัสปูติน" กันมาบ้าง และ แน่นอน รวมถึง การรู้จักจากเพลงดังในยุค 70'sครั้งนี้
ผู้เขียนนำเสนอ "รัสปูติน" ในอีกมุมหนึ่งมุมที่คำทำนายของเขา มีอิทธิพลอันยิ่งใหญ่
และทรงพลังจนแม้ พระญาติของซาร์ที่เป็นผู้ลงมือสังหารรัสปูติน ที่ภายหลังตระหนักรู้ในสิ่งที่เขาได้ทำนายไว้
ยังต้องระดมมันสมอง แผนการ ผู้จงรักภักดี และทรัพยากรทุกอย่าง ตระเตรียม
เพื่อความอยู่รอดและการฟื้นคืนราชวงศ์โรมานอฟ ที่จะมีในเกือบร้อยปีให้หลัง

เรื่องเริ่มต้น ในปีปัจจุบันเมื่อ "ไมล์ส ลอร์ด" นักกฎหมายผิวสีจากสหรัฐอเมริกา
เดินทางไปรัสเซียเพื่อร่วมในคณะกรรมาธิการเลือกตั้งซาร์
ที่จะทำหน้าที่สรรหาผู้เหมาะสมขึ้นดำรงตำแหน่งซาร์พระองค์ใหม่
ตามคำเรียกร้องของประชาชนชาวรัสเซียภายหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย
และระบอบคอมมิวนิสต์พังทลายลง
ประชาชนต้องการซาร์ใหม่ที่สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์โรมานอฟ
และ ผู้ที่จะได้รับเลือก ต้องผู้ที่มีสายเลือดใกล้ชิดที่สุด กับ พระเจ้าซาร์นิโคลัส ที่ 2
จักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งรัสเซีย ก่อนการปฏิวัติบอลเชวิค ในปี 1917

ทว่าการสรรหาซาร์ กลับถูกแทรกแซงด้วยอิทธิพลของกลุ่มผลประโยชน์
ทั้งฝ่ายทหาร มาเฟีย นายทุน รัฐบาล และ คริสตจักร ที่หันมาจับมือกันเพื่อให้ได้ซาร์พระองค์ใหม่
ที่อยู่ในอาณัติของพวกเขา

ในหอจดหมายเหตุในมอสโก ไมล์ส ลอร์ด กลับพบเอกสารข้อมูลเก่าแก่ที่ยืนยัน
เหตุการณ์ในกลางดึกของ คืนวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1918
ที่ ซาร์นิโคลัสที่ 2 พร้อมด้วยพระมเหสีและพระราชโอรสธิดาทั้ง 5 พระองค์
ถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดโดยพวกบอลเชวิค และพระศพถูกนำไปฝังด้วยกันในเหมืองร้างแห่งหนึ่ง
และ พบเบาะแส ที่อาจไขปมปริศนาได้ว่า
เหตุใดเมื่อมีการขุดซากพระศพขึ้นภายหลังในปี 1991กลับไม่พบพระศพของพระราชโอรสและพระราชธิดาสององค์สุดท้อง

ข้อมูลใหม่จากลอร์ด กำลังสั่นคลอนแผนการขึ้นสู่อำนาจที่ถูกกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว
เขาจึงตกเป็นเป้าสังหาร ที่ต้องหนีหัวซุกหัวซุน
พร้อมกับที่ต้องพยายามตามหาองค์รัชทายาทที่แท้จริงเพื่อนำกลับมาเป็นซาร์พระองค์ใหม่
ให้เป็นไปตามความปรารถนาของชาวรัสเซีย
ลอร์ดได้พบและรับความช่วยเหลือโดยบังเอิญจาก อะกีลีนา เปตรอฟนา
สาวสวยนักแสดงจากคณะละครสัตว์
ชื่อ อะกิลีนา ของเธอ แปลว่า นกอินทรีย์
เป็นการยืนยันคำทำนายก่อนถูกสังหารของ รัสปูติน เมื่อเกือบร้อยปีก่อน
ที่กล่าวถึงการล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟและ ทิ้งท้ายปริศนาไว้ว่า
ผู้ที่จะมาทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิมคือ นกราเวนสีดำ และ นกอินทรีย์
ซึ่งทั้งสองสิ่ง สื่อความหมายไปยัง คนผิวสี อย่าง ลอร์ด และ อะกิลีนา

คงจะเล่ากันได้แค่นี้แหละครับ...
เพื่อนๆ ท่านใด อยากร่วมลุ้นระทึกกับ ทั้งคู่เชิญเสพอรรถรส ได้จากหนังสือน่าอ่านเล่มนี้เลยครับ